ห่วงใยหรือห่วงใคร ?
มีสิงห์อมควันหลายคนบนโลกใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อทุเลาอาการอยากบุหรี่จริงๆ และมันค่อนข้างได้ผล อย่างน้อยก็อันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริงทั้งตัวผู้สูบเองและคนรอบข้าง น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าบางตัวนี่แทบจะไม่มีสารนิโคตินเลย ทางการอังกฤษก็ได้ออกมาส่งเสริมให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อทดแทนบุหรี่จริง
.
เคยอ่านข่าวคนอิสราเอลโดนจับบุหรี่ไฟฟ้าในไทย แล้วลุกลามไปจนถึงขนาดที่ว่าบางประเทศได้ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวของประเทศตัวเองให้ระมัดระวังในการเดินทางมายังไทย คิดแล้วก็ปวดกบาลกับกฎหมายมึนๆข้อนี้ แม้ว่าทางการจะออกมาบอกว่ามันมีมาตั้งแต่ปี 2557 แล้วไอ้กฎหมายนี้ แต่หากเพ่งมองถึงผลกระทบจริงๆมันน่าจะมีผลต่อการท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย
.
ย้อนกลับมามองที่ไทยเรา ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากเดินทางมา กฎหมายดังกล่าวกลายเป็นการฝืนใจให้นักท่องเที่ยวที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่เพื่อเลิกบุหรี่ต้องกลับมาสูบบุหรี่มวนหากต้องการมาไทย ใครมาสูบ บุหรี่ไฟฟ้า ให้เห็นคือคนเลว จะโดนจับปรับเป็นหมื่นๆ แว่วๆมาว่าสองชาวอิสราเอลโดนไป 1200 เหรียญ หรือราวๆ 4 หมื่นบาท หรือจะล่าสุดก็นักท่องเที่ยวฝรั่งเศสโดนรีดไถ 4 หมื่นพอไม่จ่ายก็จบที่นอนคุกก่อนถูกส่งเนรเทศออกนอกประเทศ เล่นเอาต่างชาติงงไปตามๆกัน อะไรของมันเนี่ย อย่าว่าแต่ต่างชาติเลย คนไทยเองยังเกาหัวกันแกรกๆ อยากให้เลิก แต่ยังโลกสวยว่าการเลิกคือเลิกเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งหากยอมรับความจริงกันสักนิดก็จะเห็นว่าการเลิกแบบหักดิบ หรือแม้กระทั่งการเข้าโครงการช่วยเลิกของรัฐนั้นมีอัตราความสำเร็จที่ต่ำอยู่ บ้านเรายึดความคิดว่าถ้าเลิกเบ็ดเสร็จไม่ได้ก็เลือกว่าจะสูบไอ้บุหรี่มวนที่อันตรายนี้ต่อไปแล้วป่วยตายซะก็แล้วกัน สรุปนี่ห่วงใยประชาชนจริงๆใช่มั้ยครับ
.
ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่ากฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้านี่มันใช่หรอ??? ให้โทษอาญารุนแรงอย่างกับยาเสพติดรุ่นใหญ่ และอ้างว่าแบนเพื่อป้องกันเยาวชน มันก็น่าคิดว่าทีสินค้าที่อันตรายกว่าบุหรี่ไฟฟ้ากลับไม่โดนแบน และควบคุมได้ อย่างบุหรี่มวนที่มีหลักฐานชัดเจนว่าอันตรายกว่าบุหรี่ไฟฟ้า อาวุธปืนที่ต้องขึ้นทะเบียน เหล้าที่ต้องซื้อในช่วงเวลากำหนดและมีอายุขั้นต่ำกลับ สิ่งเหล่านี้สามารถวางขายได้ แต่บุหรี่ไฟฟ้ากลับบอกว่าควบคุมไม่ได้เลยต้องแบน